บอกว่ายังพอมีอยู่ในพื้นที่อัมพวา แถบตำบลสวนหลวง แควอ้อม เหมืองใหม่ ปลายโพงพาง วัดประดู่ มะม่วงเหนียงนกกระทุง มีผลค่อนข้างใหญ่ เป็นมะม่วงใหญ่พันธุ์หนึ่ง แปลกตรงที่ผลมีรูปทรงส่วนท้องยื่นออกมามากหรือส่วนกลางอกกว้างหนา ส่วนหัวและก้นแหลม แต่บางคนก็มองผลของมันคล้ายกับกระจับ
ที่มาของชื่อมาจากรูปลักษณะคล้ายเหนียงใต้ปากล่างของนกกระทุงที่ห้อยยานลงมา เมื่อจับมะม่วงขึ้นในแนวนอนให้ส่วนท้องที่ยื่นออกมาลงอยู่ด้านล่าง จะมองคล้ายปากของนกกระทุง รสชาติพอรับได้ ผลดิบรสเปรี้ยวจัด จึงเหมาะที่จะรับประทานผลสุกเสียมากกว่า โดยผลที่สุกยังมีสีเขียวแกมสีเหลืองช่วงนี้จะให้รสชาติดี เนื้อสีเหลืองอ่อนๆ หวานอมเปรี้ยว มีเสี้ยนบ้าง เมล็ดลีบ มีกลิ่นหอมคล้ายๆ มะม่วงอกร่อง หากปล่อยให้ผลสุกจัดจนงอมเป็นสีเหลืองจัด รสชาติจะไม่ค่อยอร่อยเท่าไร เหนียงนกกระทุงเป็นมะม่วงที่ออกล่ากว่าอีกพันธุ์หนึ่ง และเป็นพันธุ์ที่ผู้ที่ชอบสะสมพันธุ์มะม่วงไทยโบราณต่างแสวงหากัน
มะม่วงมันทองเอก หรือ มะม่วงทองเอก เป็นมะม่วงที่มีอยู่ติดในสวนผลไม้แซมกับไม้ผลอื่น เช่น อยู่ตามสวนมะม่วง สวนมะพร้าว สวนลิ้นจี่ ของชาวสวนอัมพวาในบางพื้นที่ พบมากที่ตำบลเหมืองใหม่ ส่วนใหญ่เป็นมะม่วงต้นแก่มีอายุมาก มีมาแต่เดิม ต้นปลูกใหม่ไม่ค่อยมี ยังพบมะม่วงมันทองเอกในเขตติดต่อกับอำเภออัมพวาที่อำเภอเมืองกับอำเภอบางคนที และที่จังหวัดราชบุรีในอำเภอมีเขตติดต่อกับอำเภออัมพวาที่อำเภอวัดเพลง อำเภอปากท่อ และอำเภอดำเนินสะดวก มะม่วงมันทองเอกมะม่วงคู่อำเภออัมพวามาแต่ดั้งเดิม เป็นส่วนหนึ่งของตำนานมะม่วงอัมพวา
มะม่วงมันทองเอกจัดอยู่ในกลุ่มมะม่วงอกร่อง ใบป้อมปานกลาง หรือรูปหอก ปลายใบเรียวแหลม ฐานใบแหลม ลักษณะทรงผลรี (Elliptical) รูปทรงของผลมีส่วนคล้ายกับมะม่วงยายกล่ำ ส่วนหัวนูนใหญ่ ส่วนท้องกว้างหนา ส่วนก้นป้านเรียวลง น้ำหนักของผลแก่ อยู่ระหว่าง 3-4 ผล ต่อ 1 กิโลกรัม ผลโตจะได้ 2 ผล 1 กิโลกรัม ขายกิโลกรัมละ 50-60 บาท เมล็ดไม่ใหญ่มาก ผลเมื่อยังอ่อนมีรสเปรี้ยว เหมาะที่จะรับประทานขณะยังแก่พอห่ามๆ ใกล้จะแก่จัด ไม่ถึงกับสุก เนื้อสีเหลืองเข้มหรือสีเหลืองทอง เป็นมะม่วงมันไม่กี่ชนิดที่มีเนื้อสีเหลือง จึงเป็นที่มาของชื่อทองเอกที่มีเนื้อเหลืองดั่งสีทองเพียงชนิดเดียว
ทองเอกยังเป็นชื่อของขนมไทยโบราณชนิดหนึ่ง มะม่วงมันส่วนมากเมื่อผลแก่ (รับประทานผลดิบ) มักมีเนื้อสีขาว มะม่วงมันทองเอกมีรสชาติหวานมัน มีเปรี้ยวปนบ้าง เนื้อกรอบแน่น รสชาติอร่อยมาก เมื่อได้รับประทานกันแล้วจะติดใจ รับประทานกันจนเพลินไม่อยากวางมือ สามารถรับประทานได้เรื่อยๆ ถ้ายังไม่เบื่อ
ความหวานของมันบางคนเปรียบเปรยว่า น้ำตาลยังอาย ควรรับประทานหลังจากเก็บไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ให้ลืมต้น 2-3 วัน เพราะรสชาติจะไม่อร่อยเหมือนตอนสดๆ มีกลิ่นหอมของยางบ่งบอกถึงความมันต่างจากมะม่วงมันพันธุ์อื่น กระตุ้นให้อยากรับประทาน ผลสุกมีกลิ่นบ้างแต่ไม่หอมเหมือนพวกมะม่วงอกร่อง และไม่นิยมรับประทานผลสุกกัน มะม่วงมันทองเอกจึงมีครบทุกรส มีความสมบูรณ์ในรสชาติที่มะม่วงมันน้อยพันธุ์จะเหมือนได้ พบมีวางขายน้อยมาก
ช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคมจะพบมะม่วงมันทองเอกได้บ้างที่ตลาดอัมพวา ตลาดน้ำท่าคา ตลาดแม่กลอง และบริเวณหน้าวัดเพชรสมุทรวรวิหาร (วัดหลวงพ่อบ้านแหลม) อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม แต่เป็นมะม่วงที่ไปจากสวนตำบลเหมืองใหม่ ที่กรุงเทพฯ มีผู้นำไปจำหน่ายบ้างแต่เป็นส่วนน้อย มีขายแถวสะพานพุทธ
คล้อยต้นปี 2559 มาได้ช่วงหนึ่ง ผู้เขียนได้ไปเยี่ยมสวนของ คุณสถาพร อร่ามดี หนุ่มใหญ่ในวัยต้นๆ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 26 หมู่ที่ 9 ตำบลสวนหลวง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม คุณสถาพรมีสวนผลไม้อยู่เยื้องๆ กับวัดแว่นจันทร์ (วัดตาด้วง)
เริ่มต้นนั้นไม่มีพื้นฐานทางด้านการเกษตรมาก่อน เขาจบ ชั้น ปวช. อีเล็กทรอนิกส์ ที่วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสงคราม จบชั้น ปวส. อีเล็กทรอนิกส์ จากวิทยาลัยเอกชนที่กรุงเทพฯ และไปจบปริญญาตรี วิชาเอกการจัดการการผลิตพืช จากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช โดยใช้เวลาว่างเรียนระหว่างทำงานที่บริษัทเกี่ยวกับการส่งสินค้าออกในกรุงเทพฯ เขาใช้เวลาเรียนนานกว่าเพื่อน เพราะต้องเก็บวิชาพื้นฐานเกี่ยวกับเกษตรหลายวิชา
จากนั้นอยากศึกษาต่อระดับปริญญาโท จึงสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกันในวิชาเอกการจัดการทรัพยากรการเกษตร แต่เรียนไม่จบ เนื่องจากเส้นเลือดสมองตีบจึงหยุดพักการเรียนและต้องลาออกจากงานมารักษาตัว เมื่ออายุได้ 40 ปี หลังจากรักษาตัวจนดีขึ้นแล้วจึงกลับมาบ้านอัมพวาอยากทำสวน
- สมัครเว็บไฮโล สมัครไฮโลออนไลน์ เว็บเล่นไฮโล สมัครเกมไฮโล
- สมัครเล่นฮโล ไฮโลออนไลน์ สมัครไฮโลออนไลน์ เว็บแทงไฮโล
- สมัครเว็บสล็อต สล็อตออนไลน์ สมัครเกมสล็อต เว็บปั่นสล็อต
- สมัครเล่นสล็อต สมัครสล็อต สล็อตออนไลน์ เว็บเล่นสล็อต
- สมัครเสือมังกร สมัครไพ่เสือมังกร จีคลับ เสือมังกรออนไลน์ ไพ่เสือมังกร
ในสวนลิ้นจี่และทุเรียน 5 ไร่ นั้นมีต้นมะม่วงมันทองเอกอยู่ต้นเดียว ปลูกมาตั้งแต่สมัยปู่ ต้นอยู่หน้าบ้านพักของเขา ในส่วนของรสชาตินั้นคุณสถาพรบอกว่า “ดีมาก” ทั้งอร่อย หวาน มัน กรอบ แน่น จะต้องอนุรักษ์มันไว้และขยายพันธุ์เพิ่มจำนวนมันต่อไป เขาบอกว่าชาวอัมพวาสามารถประกันความอร่อยได้ว่าอร่อยกว่ามะม่วงเขียวเสวย ที่สวนของเขาปลูกต้นทองหลางตามริมร่องสวน เพื่อจะใช้ประโยชน์จากใบของมัน แม้มีมะม่วงมันทองเอกประจำสวนเหลืออยู่เพียงต้นเดียว แต่มันก็ทำเงินให้เขาพอสมควร
เมื่อมะม่วงมันทองเอกขึ้นห้าง
คุณสถาพร ได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2557 คุณสถาพร ได้นำลิ้นจี่พันธุ์ค่อมลำเจียกและสำเภาแก้ว ขึ้นไปขายที่ห้างดังในกรุงเทพฯ ในราคาค่อนข้างสูงมาก ลิ้นจี่สำเภาแก้ว กิโลกรัมละ 400 บาท (399 บาท) ขณะเดียวกันก็นำมะม่วงมันทองเอกติดไปด้วย 3 ลัง เนื่องจากเป็นช่วงที่มะม่วงมันทองเอกแก่พอดี ได้คัดเอาแต่ผลใหญ่เต็มมือ ขนาด 3 ผล ต่อ 1 กิโลกรัม
ระหว่างที่ประชาชนรุมซื้อลิ้นจี่กันอยู่นั้น เขาได้นำมะม่วงมันทองเอกขึ้นมาขายคู่กัน พร้อมกับปอกให้ได้ชิม ส่วนมากเมื่อได้ชิมแล้วต่างติดใจในรสชาติ ยืนเรียงเข้าคิวเพื่อรอซื้อมะม่วงมันทองเอก มันเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับการขายมะม่วง
เขาขึ้นป้ายขายมะม่วงมันทองเอก ในราคากิโลกรัมละ 159 บาท เมื่อผู้จัดการฝ่ายการตลาดเห็นประชาชนยืนเข้าแถวยาวเช่นนั้น จึงคิดว่าประชาชนรุมซื้อลิ้นจี่กัน ได้เข้ามาสอบถามเห็นเป็นมะม่วง ก็สงสัยถามว่า มะม่วงอะไร ราคาสูงเกินความจริง ในเมื่อมะม่วงที่อื่นขายกันในราคา กิโลกรัมละ 35 บาท พูดทำนองจะให้ลดราคา
คุณสถาพร คิดในใจเอาไว้ว่าเขาจะไม่ยอมลดราคามันและจะไม่ยอมลดศักดิ์ศรีความเป็นสุดยอดมะม่วงของอัมพวาลงอย่างเด็ดขาด ผู้จัดการฝ่ายการตลาดบอกต่อไปว่า เขาทำผิดเงื่อนไข ตอนที่ลงทะเบียนไว้ว่า จะจำหน่ายลิ้นจี่ แต่นำมะม่วงมาขายด้วยจึงผิดสัญญา ขอให้เลิกขายมะม่วงเสีย เขายอมรับผิดแต่โดยดี มะม่วงมันทองเอกเพิ่งขายไปได้ 2 ลัง เหลืออีก 1 ลัง จากนั้นคุณสถาพรได้แจกจ่ายมะม่วงมันทองเอกให้กับประชาชนที่ยืนเข้าคิวที่เหลือจนหมด
สร้างความงุนงงให้กับประชาชนอย่างมาก ว่ามันเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น จึงแจกมะม่วงราคาแพงกันง่ายๆ เช่นนี้ เขาทราบดีว่ามีมะม่วงจากจังหวัดอื่นมาขายที่ห้างนี้เช่นกัน แต่ไม่มีมะม่วงมันทองเอกอย่างแน่นอน การกระทำของเขาอาจเป็นการขัดผลประโยชน์คนอื่นก็ได้ เนื่องจากมีประชาชนแห่มาซื้อมะม่วงมันทองเอกจากเขาเป็นจำนวนมาก แทนที่จะไปซื้อมะม่วงจากจังหวัดนั้น
เขาใช้เวลาขายมะม่วงมันทองเอกไม่ถึง 1 ชั่วโมง หมดไป 2 ลัง ซึ่งเขาได้ทำหน้าที่คนอัมพวาแล้ว ด้วยการกอบกู้ศักดิ์ศรีของมะม่วงอัมพวาไว้ไม่ให้ต่ำลง มะม่วงรสชาติดี จะขายราคาถูกๆ มันคู่ควรกันหรือไม่ คุณค่าของมันพลอยลดต่ำลงไปด้วย เขามีส่วนช่วยยกระดับมะม่วงมันทองเอกขึ้นมา
แม้ว่าแม่ค้ารายอื่นๆ ที่อัมพวาจะขายราคาต่ำก็ตาม แต่ถ้าหากพวกแม่ค้าเหล่านั้นได้ทราบการยกระดับราคามะม่วงรสชาติดีหายาก ก็คงจะต้องขยับราคาให้สูงขึ้นตามอย่างแน่นอน ใครได้ชิมมะม่วงมันทองเอกจากห้างในครั้งนั้น คงซาบซึ้งในรสชาติของมันดี หลังจากนั้น ก็ไม่มีมะม่วงมันทองเอกปรากฏในห้างนั้นอีกเลย
ก่อนจะจากสวนของคุณสถาพร ผู้เขียนขอแบ่งกิ่งมะม่วงมันทองเอกพันธุ์แท้ 1 กิ่ง กับยอดอีกหลายยอด ผู้เขียนได้นำกิ่งทาบให้กับสวนลุงเล็ก (เสน่ห์ ลมสถิตย์) อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี ให้แกขยายพันธุ์เพิ่มจำนวนกิ่งพันธุ์เพื่อให้มันได้แพร่กระจายออกไปทั่วประเทศ ในอนาคตคนไทยจะได้รู้จัก ได้ลิ้มรสชาติของมัน ในนาม มะม่วงมันทองเอกจากอัมพวา
มะม่วงมันทองเอก ที่ภาคเหนือ
พบ มะม่วงมันทองเอก ที่จังหวัดแพร่ ในอำเภอเด่นชัย อำเภอสูงเม่น ที่สวนไผ่หวานเพชรน้ำผึ้ง เลขที่ 91 หมู่ที่ 4 ตำบลแม่จั๊วะ อำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ ได้ปลูกมะม่วงมันทองเอกพร้อมกับมะม่วงอื่นไว้หลายปีแล้ว จนให้ผลผลิต โดยได้กิ่งมาจากสถานีอบใบยาสูบเด่นชัย ซึ่งไม่ทราบว่าทางสถานีอบใบยาสูบได้พันธุ์มะม่วงมันทองเอกมาจากไหน น่าจะได้มาจากภาคกลาง ทุกปีทางสวนจะเก็บผลผลิตมาขายหน้าสวนในราคาย่อมเยา
มะม่วงมันทองเอก มะม่วงมีเอกลักษณ์ในตัวต่างจากมะม่วงอื่น มันได้พิสูจน์ตัวมันเองแล้วว่า มันควรจะโดดเด่นกว่ามะม่วงมันด้วยกัน จะกดราคาให้มันต่ำเหมือนกับมะม่วงมันทั่วไปคงไม่สมควร ศักดิ์ศรีของสุดยอดมะม่วงมันทองเอกต้องคงไว้ ถ้าหากท่านต้องการหามะม่วงมันทองเอกแท้ดั้งเดิมเป็นต้นตำนาน ต้องมาที่อัมพวาเพียงแห่งเดียวเท่านั้น อยากทราบรายละเอียดเกี่ยวกับ ทุเรียนบาตรทองคำ และ มะม่วงมันทองเอก ให้เข้าไปหาที่เฟซบุ๊ก Nawan Tropical Garden หรือ โทร.ไปสอบถามกับ คุณสถาพร อร่ามดี โดยตรงที่เบอร์โทร.(081) 697-8763
วันนี้(วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม 2562) เวลา 14.00 น. นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการชุดเฉพาะกิจกรมปศุสัตว์ ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษพญาไท เจ้าหน้าที่จากสำนักพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐานสินค้าปศุสัตว์ สำนักงานปศุสัตว์เขต1 กองสารวัตรและกักกัน ด่านกักกันสัตว์ฉะเชิงเทรา และสำนักงานปศุสัตว์พื้นที่กรุงเทพมหานคร ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสถานีตำรวจนครบาลประเวศ ลงพื้นที่ในเขตประเวศ 2 จุด ตามข้อร้องเรียน เพื่อล่อซื้อและจับกุมผู้กระทำผิด พรบ.โรงฆ่าสัตว์ ซึ่งต้องระวางโทษ 3 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
จากการจับกุมครั้งนี้ได้ผู้ต้องหา 2 ราย ของกลางซึ่งเป็นซากแพะ จำนวน 6 ตัว น้ำประมาณ 90 กิโลกรัม และอุปกรณ์การฆ่า จำนวน 10 รายการ มูลค่าประมาณ 40,000 บาท ทั้งนี้พบมีแพะมีชีวิตกว่า 40 ตัว รอการฆ่า พนักงานเจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อกล่าวหา ดังนี้
1. ประกอบกิจการฆ่าสัตว์โดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา 15 ซึ่งมีโทษ จำคุก 3 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ของพรบ.ควบคุมการฆ่าสัตว์เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ 2559
2. ฆ่าสัตว์โดยไม่แจ้งการฆ่า ปรับตามรายตัว แพะ ตัวละ 20,000 บาท ของพรบ.ควบคุมการฆ่าสัตว์เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ 2559
3. ฆ่าสัตว์นอกโรงฆ่าสัตว์ มาตรา 39 ซึ่งมีโทษ จำคุก 3 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสนบาท ของพรบ.ควบคุมการฆ่าสัตว์เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ 2559 หากพบเห็นการกระทำผิดโปรดแจ้งเบาะแสผ่านแอพพลิเคชั่น (Application) “DLD 4.0” ที่สามารถดาวน์โหลดและติดตั้งได้ทั้งระบบ iOS ผ่าน App Store และ Android ผ่าน Google play เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้าตรวจสอบการกระทำความผิดและดำเนินการตามกฎหมายได้อย่างทันท่วงที./
สวัสดีครับ สวัสดีผู้อ่านทุกท่าน พบกันเป็นประจำในคอลัมน์ “คิดใหญ่แบบรายย่อย The challenge of smallscale farmers” กับผม ธนากร เที่ยงน้อย ว่าด้วยเรื่องธุรกิจการเกษตรในประเทศไทยนั้น ท่าน รศ.สมคิด ทักษิณาวิสุทธิ์ อธิบายไว้ว่า มี 6 กลุ่ม ที่ร่วมอยู่ในธุรกิจเกษตรของบ้านเรา
คือกลุ่มที่อยู่ในธุรกิจปัจจัยการผลิต กลุ่มที่อยู่ในธุรกิจการผลิต กลุ่มจัดหาสินค้า กลุ่มแปรรูปและเก็บรักษาสินค้า กลุ่มจัดจำหน่าย และกลุ่มผู้ส่งออกสินค้าเกษตร ฉบับนี้นำท่านไปพบปะเพื่อเรียนรู้อีกอาชีพหนึ่งในโลกของธุรกิจการเกษตร ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มที่อยู่ในธุรกิจปัจจัยการผลิตทางการเกษตร ไปดูวิธีคิด ดูการทำการตลาดที่ทำให้ธุรกิจเดินต่อไปได้ในยุคที่ธุรกิจปัจจัยการผลิตทางการเกษตร ใครๆ ก็ยังคงหนีไม่พ้นคลื่นลมในกระแสเรดโอเชียนที่แข่งขันกันรุนแรง ตามไปดูกันเลยครับ
ต่อยอดจากธุรกิจเดิม
พาท่านไปพบกับ คุณนิษฐกานต์ อานันท์สิริโชติ เจ้าของร้านขายส่งทรงกรเกษตรอินทรีย์ ที่ตลาดอินโดจีนการ์เด้น ตำบลสมอแข อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ร้านขายส่งทรงกรเกษตรอินทรีย์ จำหน่ายวัสดุอุปกรณ์เพาะปลูกทุกชนิด รวมทั้งยังจำหน่ายวัสดุอินทรีย์ ขุยมะพร้าว มะพร้าวสับ แกลบดิบ แกลบดำ มูลสัตว์ คุณนิษฐกานต์ เล่าให้ฟังว่า เริ่มต่อยอดจากธุรกิจเดิมของ คุณแม่อาภาภรณ์ น้อยท่าทอง ซึ่งเป็นคุณแม่ของสามี ที่เป็นร้านขายวัสดุอุปกรณ์ทางการเกษตร ขายปัจจัยการผลิตทางการเกษตร ทั้งกระถาง ดินปลูก เมล็ดพันธุ์ ฯลฯ
“ตัวดิฉันเองเรียนจบมาทางด้านการจัดการโรงแรม จากวิทยาลัยดุสิตธานี ซึ่งเป็นคนละทางกับธุรกิจ แต่ก็ได้มารับช่วงธุรกิจร้านทรงกรต่อในช่วงที่รูปแบบการเกษตรเปลี่ยนไป มีทั้งเรื่องการเกษตรปลอดภัย การเกษตรอินทรีย์ เข้ามามากขึ้น นอกจากนั้น การตลาดก็เริ่มเปลี่ยนไป การค้าขายผ่านอินเตอร์เน็ตเริ่มเข้ามามีอิทธพลมากขึ้น” คุณนิษฐกานต์ เริ่มเล่า
เพิ่มสินค้าอินทรีย์
ผลักดันแนวคิดเกษตรในครัวเรือน
คุณนิษฐกานต์ เล่าให้ฟังว่า เมื่อเข้ามาจับธุรกิจนี้ก็ได้ตัดสินใจเริ่มเพิ่มไลน์สินค้าอินทรีย์ โดยมีแนวคิดอยากเปลี่ยนแนวความคิดของคนส่วนใหญ่ที่มองการเกษตรเป็นเรื่องยาก ให้หันมาสนใจการทำเกษตรเบื้องต้นเล็กๆ ในบ้าน เช่น การปลูกผักกินเองโดยไม่ใช้สารเคมี จึงตั้งใจทำร้านทรงกรเกษตรอินทรีย์ ให้เป็นแหล่งรวบรวมเมล็ดพันธุ์พืช วัสดุเพาะ รวมไปถึงการดูแลพืชผักสวนครัวให้ออกผลผลิตให้พอกินในครัวเรือน
“และที่สำคัญ เรามองว่าการผลิตแบบเกษตรปลอดภัยไปจนถึงเกษตรอินทรีย์จะมีอิทธิพลมากขึ้นในประเทศไทยเรา จึงเพิ่มสินค้าสำหรับคนที่ต้องการปลูกโดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ทำให้ทางร้านทรงกรเกษตรอินทรีย์ เป็นแหล่งรวบรวม ปุ๋ยมูลสัตว์ต่างๆ เช่น มูลวัว มูลหมู มูลไก่ มูลไส้เดือน เพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้า
และแนะนำให้ลูกค้าของเรามองว่า ถ้าคิดจะปลูกผักทานเองสามารถทำได้ง่ายๆ เพียงมาที่ร้านทรงกรเกษตรอินทรีย์ เรามีสินค้าพร้อมบริการทุกอย่าง เช่น เมล็ดพันธุ์พืชหลากหลายสายพันธุ์ จากหลากหลายบริษัทมาจัดจำหน่าย ทั้ง ของเจียไต๋ ของศรแดง ของ 3A และวัสดุพื้นฐานการเกษตรในการเริ่มปลูกผักหรือทำสวน ให้เป็นแหล่งรวบรวมวัสดุเพาะปลูกที่ทำจากมะพร้าว มะพร้าวสับชิ้น ขุยมะพร้าว โดยวัสดุหรือปุ๋ยจะเน้นไปในแนวทางอินทรีย์ แค่เพียงมาร้านเราก็จะได้วัสดุอุปกรณ์ครบในการปลูก ที่จะทำให้การเกษตรเล็กในครัวเรือนไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป”
นอกจากเน้นการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์แล้ว คุณนิษฐกานต์ ยังสนับสนุนเกษตรกรผู้ผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่ใกล้เคียง ให้นำผลผลิตมาฝากวางขายที่ร้านได้อีกด้วย
หมดยุค “แม่ค้าหน้างอ คอหัก”
ลูกค้าอยู่ได้ เราอยู่ได้
จากแนวคิดและความตั้งใจของคุณนิษฐกานต์ ที่จะทำให้ร้านทรงกรเกษตรอินทรีย์ เป็นแหล่งรวบรวมวัสดุทุกชนิด การจำหน่ายจึงเน้นราคาที่ถูก
“เพราะเนื่องจากเราซื้อมาขายในปริมาณจำนวนมาก ทำให้เราได้ราคาที่ถูกและขายในราคาที่ถูกเช่นกัน เราอยู่ได้ ลูกค้าอยู่ได้” นอกจากมีสินค้าที่สั่งจากบริษัทต่างๆ มาขายแล้ว คุณนิษฐกานต์ ยังมองว่า ต้องผลิตสินค้าบางชนิดเอง ดังนั้น สินค้า 20% จากทั้งหมดของร้านทรงกรเกษตรอินทรีย์ เช่น ดินผสมปลูกผักสวนครัว ดินผสมปลูกแค็กตัส เป็นต้น
“เพราะเราคิดว่าสินค้าที่มีคุณภาพดี ไม่ใช่แค่บอกด้วยปากว่าสินค้าคุณภาพดี แต่สินค้าของเราเกือบทั้งหมด เราได้ทดลองใช้จริง สินค้าที่เราผลิตเอง เราใช้เอง และใช้ได้ดีจริงๆ เราจึงนำมาขายและสามารถบอกลูกค้าได้เต็มปากว่า ผลิตภัณฑ์ที่เราขายนั้นคุณภาพดีจริงๆ เพราะเราลองใช้ด้วยตัวเอง ส่วนตัวมองว่าในโลกธุรกิจปัจจุบันนอกจากต้องแข่งขันกันเรื่องสินค้า ราคาแล้ว ยังต้องแข่งขันเรื่องการบริการอีกด้วย หมดยุคการค้าแบบที่แม่ค้าหน้างอ คอหัก ไม่ใส่ใจบริการลูกค้า เราต้องฝึกคนทำธุรกิจให้ยิ้มแย้มแจ่มใส ให้บริการที่ดีแก่ลูกค้า ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ธุรกิจของเราอยู่รอดได้” คุณนิษฐกานต์ อธิบายแนวคิด
ขยายกลุ่มลูกค้าผ่านสื่ออินเตอร์เน็ต
ร้านทรงกรเกษตรอินทรีย์ นอกจากจะมีหน้าร้านแล้ว คุณนิษฐกานต์ ยังได้เพิ่มช่องทางการตลาดในยุคโซเชียลเน็ตเวิร์ก โดยมีเพจร้าน ชื่อเพจร้านขายส่งทรงกรเกษตรอินทรีย์ จำหน่ายวัสดุอุปกรณ์การเกษตรทุกชนิดราคาส่ง ID line 0904097674
“ที่ผ่านมา เราพยายามลองผิดลองถูกในเรื่องการตลาดผ่านโซเชียลมาพอสมควร ตอนนี้เรามีการทำรีวิวสินค้าลงในเพจของร้าน ที่เราทำรีวิวแบบง่ายๆ สื่อสารแบบตรงๆ หรือเรียกว่าทำแบบบ้านๆ ให้ลูกค้าเข้าใจง่าย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการปลูกพืชชนิดต่างๆ ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เรามีจำหน่าย การดูแลพืชพันธุ์ชนิดต่างๆ ทำให้เกิดลูกค้ากลุ่มใหม่ที่เราเองก็ไม่คาดคิด เช่น ลูกค้าบางคนอยู่ที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ก็สั่งซื้อสินค้าของเรา ลูกค้าจากเกาะสมุยก็สั่งซื้อสินค้าของเรา ตอนนี้เราจึงเป็นร้านที่จัดจำหน่ายสินค้าไปทั่วประเทศ ในรูปแบบขายส่ง” คุณนิษฐกานต์ เล่าให้ฟัง
ธุรกิจนี้ยังอยู่ได้ แต่?
ในยุคที่เศรษฐกิจไม่ค่อยจะดีอย่างในปัจจุบัน การจะสร้างธุรกิจอะไรสักอย่าง คงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่คุณนิษฐกานต์ ยืนยันว่า ธุรกิจค้าขายปัจจัยการผลิตทางการเกษตรยังไปได้อีกไกล “ส่วนตัวมองว่า ธุรกิจนี้ยังสามารถไปได้อีกไกล ถึงแม้จะมีคู่แข่งมาก แม้ว่าเศรษฐกิจในภาพรวมจะไม่ดี เพราะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร เกี่ยวข้องกับการผลิตของกินของใช้ ที่เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับทุกคน แต่
ปัจจัยสำคัญมากอย่างหนึ่งของคนที่คิดจะเข้ามาในธุรกิจค้าขายปัจจัยการผลิตทางการเกษตรคือ เรื่องของความจริงใจในการทำธุรกิจ ความจริงใจต่อลูกค้า ไม่หลอกลวงยัดเยียดขายของให้ลูกค้า เราจะสามารถทำธุรกิจไปได้อีกนาน”
คำแนะนำสำหรับคนรุ่นใหม่ที่สนใจธุรกิจค้าขายปัจจัยการผลิตทางการเกษตร คุณนิษฐกานต์ แนะนำว่า “คนรุ่นใหม่ใครสนใจในธุรกิจนี้เข้ามาพูดคุยกันได้ เรายินดีแนะนำ เราไม่สนใจเรื่องขายของ เข้ามาคุยกับเราไม่ต้องกลัวว่าเราจะยัดเยียดให้รับของเราไปขาย เราพร้อมแนะนำและพร้อมเดินไปด้วยกันในธุรกิจนี้แบบระยะยาว”
ใครสนใจอยากคุย อยากปรึกษา ขอคำแนะนำจากคุณนิษฐกานต์ โทร.ติดต่อไปที่เบอร์ 090-409-7674 หรือที่เพจเฟซบุ๊ก ร้านขายส่งทรงกรเกษตรอินทรีย์ จำหน่ายวัสดุอุปกรณ์การเกษตรทุกชนิด ราคาส่งครับ
ในโลกธุรกิจรายย่อยต่างคนต่างมีแนวคิดการดำเนินธุรกิจแบบของใครของมัน การลอกเลียนแนวคิดของคนใดคนหนึ่งมาทั้งหมดอาจจะประสบความสำเร็จได้ยาก เพราะมีปัจจัยอีกหลากหลายเรื่องที่แตกต่างกัน แต่หากนำแนวคิดเหล่านั้นมาปรับใช้ให้สอดคล้องกับธุรกิจของเราเอง น่าจะส่งผลให้ธุรกิจก้าวเดินไปได้ดีไม่น้อยครับ
ฉบับต่อไปผมจะพาท่านไปพบพี่น้องเกษตรกรรายย่อยหัวก้าวหน้าที่ไหนกันอีก โปรดติดตามกันต่อ ใน “คิดใหญ่แบบรายย่อย The challenge of smallscale farmers” กับผม ธนากร เที่ยงน้อย เจอกันใหม่ฉบับต่อไปนะครับ
นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เผยถึงสถานการณ์ดุลการค้าสินค้าเกษตร ซึ่งจากความตกลงเขตการค้าเสรีของไทยภายใต้กรอบเจรจาต่างๆ ที่ได้มีผลบังคับใช้ไปแล้วกับ 10 คู่เจรจา ได้แก่ อาเซียน จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย เปรู ชิลี และล่าสุดฮ่องกง (เริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อ 11 มิถุนายน 2562) สศก. ได้มีการติดตามสถานการณ์สินค้าเกษตร (พิกัดศุลกากรตอนที่ 01-24 และพิกัด 4001 ยางพาราธรรมชาติ) พบว่า
8 เดือนแรกของปี 2562 (มกราคม-สิงหาคม) เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 ไทยยังคงรักษาความได้เปรียบดุลการค้าสินค้าเกษตรในภาพรวม โดย อาเซียน ไทยได้เปรียบดุลการค้ามูลค่า 144,838 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 16 จากการส่งออกข้าวและน้ำตาลลดลง) สินค้าส่งออกสำคัญของไทย ได้แก่ น้ำตาล เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และผลไม้ (ทุเรียน ลำไยสด/แห้ง มังคุด) จีน ไทยได้เปรียบดุลการค้ามูลค่า 112,843 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 13) สินค้าส่งออกสำคัญของไทย ได้แก่ ผลไม้ (ทุเรียน มังคุด) ยางพารา และผลิตภัณฑ์แป้งจากธัญพืช ญี่ปุ่น ไทยได้เปรียบดุลการค้ามูลค่า 91,715 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 2 เป็นผลจากการส่งออกเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์
ปลาและสัตว์น้ำลดลง) สินค้าส่งออกสำคัญของไทย ได้แก่ อาหารปรุงแต่ง ปลาและสัตว์น้ำ และยางพารา ฮ่องกง ไทยได้เปรียบดุลการค้ามูลค่า 20,854 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 9) สินค้าส่งออกสำคัญของไทย ได้แก่ ผลไม้ (ทุเรียน) ข้าว และอาหารปรุงแต่ง เกาหลีใต้ ไทยได้เปรียบดุลการค้า มูลค่า 14,210 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 25) สินค้าส่งออกสำคัญของไทย ได้แก่ น้ำตาล อาหารปรุงแต่ง และยางพารา และ ออสเตรเลีย ไทยได้เปรียบดุลการค้ามูลค่า 5,207 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 23 เป็นผลจากการส่งออกอาหารปรุงแต่งลดลง) สินค้าส่งออกสำคัญของไทย ได้แก่ อาหารปรุงแต่ง ของปรุงแต่งจากธัญพืช/นม และซอส/เครื่องปรุง